ประวัติการเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์
การเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เป็นประเพณีที่สืบทอดมาอย่างยาวนานในสังคมไทย
โดยมีความสำคัญทั้งในด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของการเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์นั้นสามารถย้อนไปได้ตั้งแต่สมัยอยุธยา
ซึ่งเป็นยุคที่การใช้เรือเป็นพาหนะหลักในการเดินทางและการสงครามของไทย
![]() |
เรือพระที่นั่งสุวรรณหงส์ |
ในสมัยอยุธยา
การเห่เรือเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระราชพิธีและการเดินทางของพระมหากษัตริย์
โดยเฉพาะในพระราชพิธีสำคัญ เช่น การอัญเชิญพระบรมธาตุ การอัญเชิญพระแก้วมรกต
หรือการเดินทางไปทำสงคราม
นอกจากจะเป็นการแสดงออกถึงความยิ่งใหญ่และอำนาจของกษัตริย์แล้ว
การเห่เรือยังเป็นการบูชาพระภูมิเจ้าที่และเทพเจ้าตามความเชื่อของคนไทยโบราณ
การเห่เรือในสมัยรัตนโกสินทร์
เมื่อเข้าสู่สมัยรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ได้ฟื้นฟูการเห่เรือให้เป็นประเพณีสำคัญอีกครั้ง
เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์จักรี
การเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์กลายเป็นส่วนหนึ่งของขบวนพยุหยาตราชลมารคที่สำคัญ
โดยมีการจัดขึ้นในโอกาสพิเศษต่างๆ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
หรือพระราชพิธีสมโภชพระพุทธรูปสำคัญ
ลักษณะของเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์
เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เป็นเรือพระราชพิธีที่มีลักษณะพิเศษ
ตัวเรือถูกออกแบบให้มีหัวเรือเป็นรูปหงส์ทอง ซึ่งถือเป็นสัตว์มงคลตามความเชื่อของคนไทย
ตัวเรือมีความยาวประมาณ 46 เมตร กว้างประมาณ 3
เมตร และสูงจากท้องเรือถึงหัวหงส์ประมาณ 4 เมตร
ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ในการประทับในพระราชพิธีที่สำคัญ
การเห่เรือในปัจจุบัน
ปัจจุบัน
การเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ยังคงถูกจัดขึ้นในโอกาสพิเศษต่างๆ เช่น
การสมโภชพระพุทธศาสนา การเฉลิมพระชนมพรรษา และพระราชพิธีต่างๆ
การเห่เรือไม่เพียงแค่เป็นการแสดงถึงความสวยงามและความยิ่งใหญ่ของประเพณีไทย
แต่ยังเป็นการอนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติ
และสร้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทย
4o
การเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของขบวนพยุหยาตราชลมารค
ซึ่งถือเป็นขบวนพิเศษที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของไทย
การเห่เรือมีความเป็นมาและองค์ประกอบที่น่าสนใจหลายประการ ดังนี้:
ความหมายและจุดประสงค์ของการเห่เรือ
คำว่า
"เห่เรือ" หมายถึงการร้องหรือกล่าวบทเห่ซึ่งเป็นบทกลอนที่มีจังหวะเฉพาะ
โดยเนื้อหาของบทเห่จะเล่าถึงความยิ่งใหญ่ของพระมหากษัตริย์ ความสง่างามของขบวนเรือ
และความสำคัญของพระราชพิธี นอกจากนี้
การเห่เรือยังเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับทหารเรือที่เข้าร่วมในขบวน เพื่อให้เกิดความพร้อมเพรียงและความศรัทธาในภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
ประวัติการฟื้นฟูการเห่เรือในสมัยรัชกาลที่
6
การเห่เรือที่มีบทเห่เรือเป็นลำนำกลอนแบบชาววังถูกฟื้นฟูขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ 6) เพื่อเป็นการสืบสานประเพณีเก่าแก่และเป็นการรำลึกถึงความงดงามของวรรณศิลป์ไทย
โดยพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์บทเห่เรือขึ้นใหม่ด้วยพระองค์เอง ซึ่งบทเห่เรือนั้นจะเล่าถึงตำนานเรื่องราวของการต่อสู้ของนักรบไทย
และความรุ่งเรืองของแผ่นดิน
องค์ประกอบของขบวนเรือพระราชพิธี
ขบวนเรือพระราชพิธีที่สำคัญจะประกอบไปด้วยเรือหลายลำ
ซึ่งแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ได้แก่:
- เรือพระที่นั่ง: เป็นเรือสำคัญที่สุดในขบวน
ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ เช่น เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์
และเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช
- เรือกองทัพเรือ: เป็นเรือที่มีการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม
มีหน้าที่คุ้มครองเรือพระที่นั่งและทำหน้าที่ในการจัดขบวน
- เรือดั้งและเรือแซง: เป็นเรือประกอบในขบวนที่มีบทบาทในการให้จังหวะและควบคุมความเป็นระเบียบของขบวน
เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ในปัจจุบัน
เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ที่ใช้ในปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่
9 โดยได้รับการบูรณะและปรับปรุงหลายครั้ง
เพื่อคงความงดงามและความสง่างามตามแบบฉบับดั้งเดิม
มีการประดับด้วยกระจกสีทองและสีแดงสด ตลอดจนการแกะสลักลวดลายอย่างประณีต
บริเวณหัวเรือรูปหงส์ทองมีความละเอียดอ่อน
และมีการฝังเพชรจำลองเพื่อเพิ่มความงดงาม
การจัดการเห่เรือในปัจจุบัน
การเห่เรือยังคงเป็นประเพณีที่ได้รับความสำคัญและถูกจัดขึ้นในโอกาสพิเศษ
เช่น การเฉลิมพระชนมพรรษาของพระมหากษัตริย์ หรือพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ซึ่งขบวนพยุหยาตราชลมารคได้กลายเป็นการแสดงศิลปวัฒนธรรมอันล้ำค่า
เป็นการแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย
ที่ยังคงสืบสานและรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน
นอกจากการเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์จะเป็นประเพณีอันเก่าแก่และยิ่งใหญ่
ยังมีรายละเอียดเชิงลึกที่ช่วยเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับประเพณีและความสำคัญดังต่อไปนี้:
บทเห่เรือ
บทเห่เรือเป็นบทกวีที่มีความสละสลวย
ใช้ภาษาที่เป็นศิลปะ มีจังหวะและทำนองในการร้องที่สร้างความตื่นเต้นและน่าประทับใจ
บทเห่เรือในอดีตส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการบรรยายถึงความยิ่งใหญ่ของขบวนพยุหยาตราชลมารค
ความงดงามของเรือ และความกล้าหาญของนักรบไทย
บทเห่เหล่านี้มักแต่งขึ้นใหม่ในแต่ละรัชกาลเพื่อล้อไปกับเหตุการณ์สำคัญที่กำลังเกิดขึ้นหรือเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์
ตัวอย่างบทเห่เรือที่มีชื่อเสียง
ได้แก่ บทเห่เรือพระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
และบทเห่เรือพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ซึ่งได้แสดงถึงความยิ่งใหญ่และความรุ่งเรืองของกรุงรัตนโกสินทร์
นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ก็ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทเห่เรือใหม่เพื่อฟื้นฟูประเพณีและเสริมสร้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทย
การฝึกซ้อมและการจัดขบวน
การจัดขบวนเห่เรือเป็นงานที่ต้องการการวางแผนอย่างละเอียดและการฝึกซ้อมอย่างเข้มงวด
เพื่อให้ขบวนเรือเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงและสง่างาม
นักพายเรือต้องมีความรู้และประสบการณ์ในการพายเรือ
รวมถึงการควบคุมจังหวะให้สอดคล้องกับการเห่เรือ ขบวนเรือจะถูกจัดเรียงตามลำดับ
โดยมีเรือพระที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสำคัญที่สุด และเรือประกอบอื่นๆ
อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
นักพายเรือจะต้องฝึกซ้อมเพื่อให้เกิดความพร้อมเพรียงในการพายเรือ
และนักเห่เรือที่ทำหน้าที่ร้องบทเห่จะต้องฝึกการออกเสียงและการควบคุมจังหวะเพื่อสร้างความประทับใจและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของขบวน
ความหมายเชิงสัญลักษณ์
การเห่เรือและขบวนพยุหยาตราชลมารคไม่ได้เป็นเพียงแค่การแสดงศิลปะวัฒนธรรมเท่านั้น
แต่ยังมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญ
การที่พระมหากษัตริย์ประทับอยู่บนเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ซึ่งมีลักษณะเป็นหงส์ทองนั้น
แสดงถึงความสูงส่งและอำนาจของกษัตริย์ หงส์ในความเชื่อของคนไทยถือเป็นสัตว์มงคล
มีลักษณะสง่างามและมีพลังแห่งความเป็นสิริมงคล การที่ขบวนเรือเคลื่อนตัวไปตามแม่น้ำยังสะท้อนถึงความกลมกลืนและความสมดุลของธรรมชาติและมนุษย์
นอกจากนี้
ขบวนพยุหยาตราชลมารคยังเป็นการแสดงออกถึงความสามัคคีของประชาชน
การที่ทุกคนต้องพายเรือพร้อมเพรียงกันในจังหวะเดียวกัน
แสดงถึงความร่วมมือและความพร้อมเพรียงในการปฏิบัติหน้าที่
ซึ่งเป็นคุณค่าที่สำคัญของสังคมไทย
การอนุรักษ์และการฟื้นฟู
การเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ได้กลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติไทย
รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ได้พยายามอนุรักษ์และฟื้นฟูประเพณีนี้ให้คงอยู่ต่อไป
โดยมีการจัดงานแสดงและนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของการเห่เรือ
ตลอดจนการจัดกิจกรรมฝึกซ้อมและการแสดงสดในช่วงเทศกาลสำคัญ
ทั้งนี้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีโอกาสเรียนรู้และเข้าใจถึงคุณค่าของประเพณีนี้
การเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เป็นการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมให้คงอยู่ในสังคมไทยอย่างยั่งยืน
เป็นประเพณีที่ไม่ได้เพียงแค่สะท้อนความงดงามของศิลปะและวรรณศิลป์ไทยเท่านั้น
แต่ยังสร้างความภูมิใจในความเป็นไทยให้กับคนไทยทุกคน
การเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์และขบวนพยุหยาตราชลมารคยังมีแง่มุมและรายละเอียดที่น่าสนใจเพิ่มเติม
ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่สืบทอดมาเป็นเวลาหลายร้อยปี
ดังนี้:
ความเป็นมาของเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์
เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี
พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911)
ในสมัยรัชกาลที่ 6 โดยมีการออกแบบให้หัวเรือมีลักษณะเป็นรูปหงส์ทองยื่นออกไปข้างหน้าและคาบพวงมาลัย
มีความงดงามและละเอียดอ่อน
ตัวเรือทำจากไม้สักทั้งลำและตกแต่งด้วยการประดับกระจกสีตลอดทั้งลำ
ความยาวของเรือประมาณ 46 เมตร และมีนักพายประมาณ 50 คน พร้อมด้วยนายท้ายเรือและนายเห่เรือ เป็นเรือที่ใช้ในพระราชพิธีสำคัญ
เช่น ขบวนแห่พระราชพิธีบรมราชาภิเษก และงานพระราชพิธีสำคัญอื่นๆ
เรือสุพรรณหงส์ที่เคยมีมาก่อนหน้าในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ยุคต้นอาจมีรูปลักษณ์และการตกแต่งแตกต่างกันไปบ้างตามสมัยนิยม
แต่ความคิดเรื่องหงส์ในฐานะสัตว์มงคลที่เป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ยังคงสืบทอดอยู่เสมอ
ขบวนพยุหยาตราชลมารคในโอกาสสำคัญ
ขบวนพยุหยาตราชลมารคมีการจัดขึ้นในโอกาสสำคัญต่างๆ
เช่น:
- พระราชพิธีบรมราชาภิเษก: เป็นการเฉลิมพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์
โดยเป็นการแสดงถึงอำนาจและความเป็นสิริมงคลของพระองค์
ขบวนพยุหยาตราจะประกอบด้วยเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์และเรือประกอบอื่นๆ
ที่เข้าร่วมขบวน
- พระราชพิธีสมโภชพระพุทธรูปสำคัญ: เช่น พระแก้วมรกต
ขบวนพยุหยาตราชลมารคจะเป็นการแห่ทางน้ำเพื่อนำพระพุทธรูปสำคัญผ่านประชาชนที่อยู่สองฝั่งแม่น้ำ
เพื่อให้เกิดความศรัทธาและเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมือง
- การเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค: ในสมัยโบราณ
พระมหากษัตริย์ใช้การเดินทางทางน้ำเป็นหลัก
การจัดขบวนพยุหยาตราชลมารคจึงเป็นการเสด็จพระราชดำเนินที่แสดงถึงพระบารมีและพระราชอำนาจ
ประเพณีการบำรุงรักษาเรือพระที่นั่ง
เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์และเรือพระราชพิธีอื่นๆ
ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างพิถีพิถันและต่อเนื่อง มีการซ่อมแซมและบูรณะเป็นระยะ
เพื่อให้เรือคงอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานเสมอ
มีช่างฝีมือที่เชี่ยวชาญด้านการซ่อมเรือและการตกแต่งลวดลายอย่างประณีต นอกจากนี้
ยังมีการฝึกซ้อมการพายเรือและการเห่เรือให้พร้อมรับพระราชพิธีต่างๆ
การดูแลรักษาเรือพระราชพิธีถือเป็นหน้าที่ของกรมอู่ทหารเรือและกรมศิลปากร
โดยมีการตรวจสอบความเสียหายและบูรณะตามความเหมาะสม เช่น การทาสี
การแกะสลักไม้เพิ่มเติม และการซ่อมแซมส่วนที่ชำรุดให้กลับมาเหมือนเดิม
บทบาทของการเห่เรือในวัฒนธรรมไทย
การเห่เรือเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมไทยที่มีบทบาทมากกว่าแค่การแสดงหรือการร่วมขบวนพยุหยาตรา
แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงอดีตเข้ากับปัจจุบัน
การเห่เรือสะท้อนถึงศิลปะวรรณกรรมและดนตรีไทย
ผ่านการร้องบทเห่ด้วยจังหวะที่สง่างาม ผสมผสานกับเสียงเครื่องดนตรีพื้นบ้าน เช่น
กลองและฆ้อง สร้างบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่
การเห่เรือยังเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นศูนย์รวมใจของคนไทย
การได้มีโอกาสเข้าร่วมในขบวนพยุหยาตรา
ถือเป็นเกียรติยศและเป็นสิ่งที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ผู้เข้าร่วม
ความสำคัญในยุคปัจจุบัน
แม้ว่าการเดินทางทางน้ำจะไม่ใช่การคมนาคมหลักของไทยในยุคปัจจุบัน
แต่ขบวนพยุหยาตราชลมารคและการเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ยังคงได้รับการสืบสานและอนุรักษ์ไว้ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรม
การจัดขบวนในโอกาสพิเศษยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทย
เป็นที่ประทับใจแก่ผู้ชมทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ นอกจากนี้
การเห่เรือยังเป็นการสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ประเพณีและวัฒนธรรมที่มีค่าให้คงอยู่รุ่นต่อรุ่น
ประเพณีการเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์และขบวนพยุหยาตราชลมารคยังมีองค์ประกอบและความสำคัญที่ลึกซึ้งในหลายแง่มุม
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงมิติทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และศิลปะ ดังนี้:
ลักษณะการจัดขบวนพยุหยาตราชลมารค
ขบวนพยุหยาตราชลมารคถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันและมีระเบียบแบบแผน
ขบวนประกอบด้วยเรือพระราชพิธีทั้งหมด 52 ลำ แบ่งเป็นเรือ 4 หมู่ใหญ่ ได้แก่:
1.
เรือพระที่นั่ง: เป็นเรือที่มีความสำคัญที่สุดในขบวน
โดยมีเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เป็นเรือประธาน
นอกจากนี้ยังมีเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์
และเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ ซึ่งเรือแต่ละลำมีการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามและมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่แตกต่างกันไป
2.
เรือกองทัพ: ประกอบด้วยเรือที่ทำหน้าที่คุ้มครองเรือพระที่นั่ง
เช่น เรือดั้ง และเรือแซง โดยเรือกองทัพมีการตกแต่งด้วยลายแกะสลักและสีสันที่งดงาม
3.
เรือประกอบในขบวน: เช่น เรือหางยาวและเรือพาย
ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจัดขบวนและให้จังหวะการพายเพื่อความพร้อมเพรียง
4.
เรือเครื่องดนตรี: เป็นเรือที่มีเครื่องดนตรีสำหรับการบรรเลงเพลง
เช่น กลองและฆ้อง เพื่อสร้างบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่และสง่างาม
การออกแบบเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์
เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์มีลักษณะเฉพาะตัวที่สะท้อนถึงความวิจิตรบรรจงของศิลปะไทย
ตัวเรือทำจากไม้สักและถูกตกแต่งด้วยการลงรักปิดทอง ประดับกระจกสี
หัวเรือมีลักษณะเป็นหงส์ทองยื่นออกไปข้างหน้า สัญลักษณ์ของหงส์แสดงถึงความสง่างาม
ความสูงส่ง และอำนาจของพระมหากษัตริย์
ส่วนคาบพวงมาลัยที่ปากหงส์เป็นสัญลักษณ์ของความเคารพและการบูชาต่อเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้รับการบูรณะหลายครั้ง
เช่น ในปี พ.ศ. 2524 และ พ.ศ. 2553
เพื่อให้คงความงดงามและอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน นอกจากนี้
ยังมีการฝึกฝนนักพายเรือและนักเห่เรืออย่างสม่ำเสมอเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับพระราชพิธีที่สำคัญ
การบูรณาการศิลปะและวรรณกรรมในประเพณีการเห่เรือ
การเห่เรือเป็นการบูรณาการของศิลปะหลายแขนง
ได้แก่:
- ศิลปะการพายเรือ: ต้องการความสามัคคีและความพร้อมเพรียงในการพาย
และนักพายจะต้องได้รับการฝึกซ้อมอย่างดีเพื่อให้เรือเคลื่อนตัวไปอย่างสง่างามและพร้อมเพรียง
- ดนตรีไทย: ขบวนพยุหยาตราชลมารคมักใช้การบรรเลงเพลงไทยเดิมประกอบการเห่เรือ
เสียงเครื่องดนตรีต่างๆ เช่น กลองและฆ้อง ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่
- วรรณกรรมไทย: บทเห่เรือเป็นศิลปะการแต่งกลอนที่สละสลวย
ใช้ถ้อยคำที่มีความหมายและความไพเราะ โดยเฉพาะบทเห่เรือในสมัยรัชกาลที่ 6
ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่
ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานวรรณกรรมที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง
การเห่เรือในฐานะสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูวัฒนธรรม
ในยุคสมัยรัชกาลที่
6 การเห่เรือได้รับการฟื้นฟูอย่างเป็นทางการ
เนื่องจากพระองค์มีความสนพระทัยในการฟื้นฟูประเพณีดั้งเดิมและอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์บทเห่เรือและฟื้นฟูการจัดขบวนพยุหยาตราชลมารคให้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของพิธีสำคัญของราชสำนัก
การฟื้นฟูนี้ได้กลายเป็นการส่งเสริมความรู้สึกภาคภูมิใจในมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ
และสืบทอดประเพณีนี้ให้คงอยู่ต่อไปจนถึงปัจจุบัน
การเผยแพร่วัฒนธรรมผ่านการเห่เรือ
การเห่เรือและขบวนพยุหยาตราชลมารคยังมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยไปสู่สายตาชาวโลก
การจัดขบวนในโอกาสสำคัญ เช่น งานเฉลิมฉลองหรือพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้ชมทั้งในประเทศและต่างประเทศ
การที่ประเทศไทยยังคงสืบสานประเพณีนี้เป็นการแสดงถึงความเคารพต่อประวัติศาสตร์และความเป็นไทยที่ไม่เสื่อมคลาย
การจัดแสดงขบวนเห่เรือในบางโอกาสอาจจัดขึ้นในแม่น้ำเจ้าพระยา
โดยมีนักท่องเที่ยวและประชาชนเข้าชมตามแนวฝั่งแม่น้ำ
ซึ่งช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่งดงามและยิ่งใหญ่
เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และแสดงถึงความสำคัญของประเพณีและศิลปะการพายเรือในสังคมไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น