หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ประวัติการเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์

 

ประวัติการเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ 

การเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เป็นประเพณีที่สืบทอดมาอย่างยาวนานในสังคมไทย โดยมีความสำคัญทั้งในด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของการเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์นั้นสามารถย้อนไปได้ตั้งแต่สมัยอยุธยา ซึ่งเป็นยุคที่การใช้เรือเป็นพาหนะหลักในการเดินทางและการสงครามของไทย

เรือพระที่นั่งสุวรรณหงส์

การเห่เรือในสมัยอยุธยา

ในสมัยอยุธยา การเห่เรือเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระราชพิธีและการเดินทางของพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะในพระราชพิธีสำคัญ เช่น การอัญเชิญพระบรมธาตุ การอัญเชิญพระแก้วมรกต หรือการเดินทางไปทำสงคราม นอกจากจะเป็นการแสดงออกถึงความยิ่งใหญ่และอำนาจของกษัตริย์แล้ว การเห่เรือยังเป็นการบูชาพระภูมิเจ้าที่และเทพเจ้าตามความเชื่อของคนไทยโบราณ

การเห่เรือในสมัยรัตนโกสินทร์

เมื่อเข้าสู่สมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ได้ฟื้นฟูการเห่เรือให้เป็นประเพณีสำคัญอีกครั้ง เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์จักรี การเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์กลายเป็นส่วนหนึ่งของขบวนพยุหยาตราชลมารคที่สำคัญ โดยมีการจัดขึ้นในโอกาสพิเศษต่างๆ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก หรือพระราชพิธีสมโภชพระพุทธรูปสำคัญ

ลักษณะของเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์

เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เป็นเรือพระราชพิธีที่มีลักษณะพิเศษ ตัวเรือถูกออกแบบให้มีหัวเรือเป็นรูปหงส์ทอง ซึ่งถือเป็นสัตว์มงคลตามความเชื่อของคนไทย ตัวเรือมีความยาวประมาณ 46 เมตร กว้างประมาณ 3 เมตร และสูงจากท้องเรือถึงหัวหงส์ประมาณ 4 เมตร ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ในการประทับในพระราชพิธีที่สำคัญ

การเห่เรือในปัจจุบัน

ปัจจุบัน การเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ยังคงถูกจัดขึ้นในโอกาสพิเศษต่างๆ เช่น การสมโภชพระพุทธศาสนา การเฉลิมพระชนมพรรษา และพระราชพิธีต่างๆ การเห่เรือไม่เพียงแค่เป็นการแสดงถึงความสวยงามและความยิ่งใหญ่ของประเพณีไทย แต่ยังเป็นการอนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติ และสร้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทย

4o

การเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของขบวนพยุหยาตราชลมารค ซึ่งถือเป็นขบวนพิเศษที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของไทย การเห่เรือมีความเป็นมาและองค์ประกอบที่น่าสนใจหลายประการ ดังนี้:

ความหมายและจุดประสงค์ของการเห่เรือ

คำว่า "เห่เรือ" หมายถึงการร้องหรือกล่าวบทเห่ซึ่งเป็นบทกลอนที่มีจังหวะเฉพาะ โดยเนื้อหาของบทเห่จะเล่าถึงความยิ่งใหญ่ของพระมหากษัตริย์ ความสง่างามของขบวนเรือ และความสำคัญของพระราชพิธี นอกจากนี้ การเห่เรือยังเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับทหารเรือที่เข้าร่วมในขบวน เพื่อให้เกิดความพร้อมเพรียงและความศรัทธาในภารกิจที่ได้รับมอบหมาย

ประวัติการฟื้นฟูการเห่เรือในสมัยรัชกาลที่ 6

การเห่เรือที่มีบทเห่เรือเป็นลำนำกลอนแบบชาววังถูกฟื้นฟูขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) เพื่อเป็นการสืบสานประเพณีเก่าแก่และเป็นการรำลึกถึงความงดงามของวรรณศิลป์ไทย โดยพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์บทเห่เรือขึ้นใหม่ด้วยพระองค์เอง ซึ่งบทเห่เรือนั้นจะเล่าถึงตำนานเรื่องราวของการต่อสู้ของนักรบไทย และความรุ่งเรืองของแผ่นดิน

องค์ประกอบของขบวนเรือพระราชพิธี

ขบวนเรือพระราชพิธีที่สำคัญจะประกอบไปด้วยเรือหลายลำ ซึ่งแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ได้แก่:

  • เรือพระที่นั่ง: เป็นเรือสำคัญที่สุดในขบวน ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ เช่น เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ และเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช
  • เรือกองทัพเรือ: เป็นเรือที่มีการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม มีหน้าที่คุ้มครองเรือพระที่นั่งและทำหน้าที่ในการจัดขบวน
  • เรือดั้งและเรือแซง: เป็นเรือประกอบในขบวนที่มีบทบาทในการให้จังหวะและควบคุมความเป็นระเบียบของขบวน

เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ในปัจจุบัน

เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ที่ใช้ในปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 9 โดยได้รับการบูรณะและปรับปรุงหลายครั้ง เพื่อคงความงดงามและความสง่างามตามแบบฉบับดั้งเดิม มีการประดับด้วยกระจกสีทองและสีแดงสด ตลอดจนการแกะสลักลวดลายอย่างประณีต บริเวณหัวเรือรูปหงส์ทองมีความละเอียดอ่อน และมีการฝังเพชรจำลองเพื่อเพิ่มความงดงาม

การจัดการเห่เรือในปัจจุบัน

การเห่เรือยังคงเป็นประเพณีที่ได้รับความสำคัญและถูกจัดขึ้นในโอกาสพิเศษ เช่น การเฉลิมพระชนมพรรษาของพระมหากษัตริย์ หรือพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งขบวนพยุหยาตราชลมารคได้กลายเป็นการแสดงศิลปวัฒนธรรมอันล้ำค่า เป็นการแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย ที่ยังคงสืบสานและรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน

นอกจากการเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์จะเป็นประเพณีอันเก่าแก่และยิ่งใหญ่ ยังมีรายละเอียดเชิงลึกที่ช่วยเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับประเพณีและความสำคัญดังต่อไปนี้:

บทเห่เรือ

บทเห่เรือเป็นบทกวีที่มีความสละสลวย ใช้ภาษาที่เป็นศิลปะ มีจังหวะและทำนองในการร้องที่สร้างความตื่นเต้นและน่าประทับใจ บทเห่เรือในอดีตส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการบรรยายถึงความยิ่งใหญ่ของขบวนพยุหยาตราชลมารค ความงดงามของเรือ และความกล้าหาญของนักรบไทย บทเห่เหล่านี้มักแต่งขึ้นใหม่ในแต่ละรัชกาลเพื่อล้อไปกับเหตุการณ์สำคัญที่กำลังเกิดขึ้นหรือเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์

ตัวอย่างบทเห่เรือที่มีชื่อเสียง ได้แก่ บทเห่เรือพระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และบทเห่เรือพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ซึ่งได้แสดงถึงความยิ่งใหญ่และความรุ่งเรืองของกรุงรัตนโกสินทร์ นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ก็ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทเห่เรือใหม่เพื่อฟื้นฟูประเพณีและเสริมสร้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทย

การฝึกซ้อมและการจัดขบวน

การจัดขบวนเห่เรือเป็นงานที่ต้องการการวางแผนอย่างละเอียดและการฝึกซ้อมอย่างเข้มงวด เพื่อให้ขบวนเรือเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงและสง่างาม นักพายเรือต้องมีความรู้และประสบการณ์ในการพายเรือ รวมถึงการควบคุมจังหวะให้สอดคล้องกับการเห่เรือ ขบวนเรือจะถูกจัดเรียงตามลำดับ โดยมีเรือพระที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสำคัญที่สุด และเรือประกอบอื่นๆ อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม

นักพายเรือจะต้องฝึกซ้อมเพื่อให้เกิดความพร้อมเพรียงในการพายเรือ และนักเห่เรือที่ทำหน้าที่ร้องบทเห่จะต้องฝึกการออกเสียงและการควบคุมจังหวะเพื่อสร้างความประทับใจและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของขบวน

ความหมายเชิงสัญลักษณ์

การเห่เรือและขบวนพยุหยาตราชลมารคไม่ได้เป็นเพียงแค่การแสดงศิลปะวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญ การที่พระมหากษัตริย์ประทับอยู่บนเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ซึ่งมีลักษณะเป็นหงส์ทองนั้น แสดงถึงความสูงส่งและอำนาจของกษัตริย์ หงส์ในความเชื่อของคนไทยถือเป็นสัตว์มงคล มีลักษณะสง่างามและมีพลังแห่งความเป็นสิริมงคล การที่ขบวนเรือเคลื่อนตัวไปตามแม่น้ำยังสะท้อนถึงความกลมกลืนและความสมดุลของธรรมชาติและมนุษย์

นอกจากนี้ ขบวนพยุหยาตราชลมารคยังเป็นการแสดงออกถึงความสามัคคีของประชาชน การที่ทุกคนต้องพายเรือพร้อมเพรียงกันในจังหวะเดียวกัน แสดงถึงความร่วมมือและความพร้อมเพรียงในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเป็นคุณค่าที่สำคัญของสังคมไทย

การอนุรักษ์และการฟื้นฟู

การเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ได้กลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติไทย รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ได้พยายามอนุรักษ์และฟื้นฟูประเพณีนี้ให้คงอยู่ต่อไป โดยมีการจัดงานแสดงและนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของการเห่เรือ ตลอดจนการจัดกิจกรรมฝึกซ้อมและการแสดงสดในช่วงเทศกาลสำคัญ ทั้งนี้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีโอกาสเรียนรู้และเข้าใจถึงคุณค่าของประเพณีนี้

การเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เป็นการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมให้คงอยู่ในสังคมไทยอย่างยั่งยืน เป็นประเพณีที่ไม่ได้เพียงแค่สะท้อนความงดงามของศิลปะและวรรณศิลป์ไทยเท่านั้น แต่ยังสร้างความภูมิใจในความเป็นไทยให้กับคนไทยทุกคน

การเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์และขบวนพยุหยาตราชลมารคยังมีแง่มุมและรายละเอียดที่น่าสนใจเพิ่มเติม ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่สืบทอดมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ดังนี้:

ความเป็นมาของเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์

เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) ในสมัยรัชกาลที่ 6 โดยมีการออกแบบให้หัวเรือมีลักษณะเป็นรูปหงส์ทองยื่นออกไปข้างหน้าและคาบพวงมาลัย มีความงดงามและละเอียดอ่อน ตัวเรือทำจากไม้สักทั้งลำและตกแต่งด้วยการประดับกระจกสีตลอดทั้งลำ ความยาวของเรือประมาณ 46 เมตร และมีนักพายประมาณ 50 คน พร้อมด้วยนายท้ายเรือและนายเห่เรือ เป็นเรือที่ใช้ในพระราชพิธีสำคัญ เช่น ขบวนแห่พระราชพิธีบรมราชาภิเษก และงานพระราชพิธีสำคัญอื่นๆ

เรือสุพรรณหงส์ที่เคยมีมาก่อนหน้าในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ยุคต้นอาจมีรูปลักษณ์และการตกแต่งแตกต่างกันไปบ้างตามสมัยนิยม แต่ความคิดเรื่องหงส์ในฐานะสัตว์มงคลที่เป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ยังคงสืบทอดอยู่เสมอ

ขบวนพยุหยาตราชลมารคในโอกาสสำคัญ

ขบวนพยุหยาตราชลมารคมีการจัดขึ้นในโอกาสสำคัญต่างๆ เช่น:

  • พระราชพิธีบรมราชาภิเษก: เป็นการเฉลิมพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ โดยเป็นการแสดงถึงอำนาจและความเป็นสิริมงคลของพระองค์ ขบวนพยุหยาตราจะประกอบด้วยเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์และเรือประกอบอื่นๆ ที่เข้าร่วมขบวน
  • พระราชพิธีสมโภชพระพุทธรูปสำคัญ: เช่น พระแก้วมรกต ขบวนพยุหยาตราชลมารคจะเป็นการแห่ทางน้ำเพื่อนำพระพุทธรูปสำคัญผ่านประชาชนที่อยู่สองฝั่งแม่น้ำ เพื่อให้เกิดความศรัทธาและเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมือง
  • การเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค: ในสมัยโบราณ พระมหากษัตริย์ใช้การเดินทางทางน้ำเป็นหลัก การจัดขบวนพยุหยาตราชลมารคจึงเป็นการเสด็จพระราชดำเนินที่แสดงถึงพระบารมีและพระราชอำนาจ

ประเพณีการบำรุงรักษาเรือพระที่นั่ง

เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์และเรือพระราชพิธีอื่นๆ ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างพิถีพิถันและต่อเนื่อง มีการซ่อมแซมและบูรณะเป็นระยะ เพื่อให้เรือคงอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานเสมอ มีช่างฝีมือที่เชี่ยวชาญด้านการซ่อมเรือและการตกแต่งลวดลายอย่างประณีต นอกจากนี้ ยังมีการฝึกซ้อมการพายเรือและการเห่เรือให้พร้อมรับพระราชพิธีต่างๆ

การดูแลรักษาเรือพระราชพิธีถือเป็นหน้าที่ของกรมอู่ทหารเรือและกรมศิลปากร โดยมีการตรวจสอบความเสียหายและบูรณะตามความเหมาะสม เช่น การทาสี การแกะสลักไม้เพิ่มเติม และการซ่อมแซมส่วนที่ชำรุดให้กลับมาเหมือนเดิม

บทบาทของการเห่เรือในวัฒนธรรมไทย

การเห่เรือเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมไทยที่มีบทบาทมากกว่าแค่การแสดงหรือการร่วมขบวนพยุหยาตรา แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงอดีตเข้ากับปัจจุบัน การเห่เรือสะท้อนถึงศิลปะวรรณกรรมและดนตรีไทย ผ่านการร้องบทเห่ด้วยจังหวะที่สง่างาม ผสมผสานกับเสียงเครื่องดนตรีพื้นบ้าน เช่น กลองและฆ้อง สร้างบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่

การเห่เรือยังเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นศูนย์รวมใจของคนไทย การได้มีโอกาสเข้าร่วมในขบวนพยุหยาตรา ถือเป็นเกียรติยศและเป็นสิ่งที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ผู้เข้าร่วม

ความสำคัญในยุคปัจจุบัน

แม้ว่าการเดินทางทางน้ำจะไม่ใช่การคมนาคมหลักของไทยในยุคปัจจุบัน แต่ขบวนพยุหยาตราชลมารคและการเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ยังคงได้รับการสืบสานและอนุรักษ์ไว้ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรม การจัดขบวนในโอกาสพิเศษยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทย เป็นที่ประทับใจแก่ผู้ชมทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ นอกจากนี้ การเห่เรือยังเป็นการสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ประเพณีและวัฒนธรรมที่มีค่าให้คงอยู่รุ่นต่อรุ่น

ประเพณีการเห่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์และขบวนพยุหยาตราชลมารคยังมีองค์ประกอบและความสำคัญที่ลึกซึ้งในหลายแง่มุม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงมิติทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และศิลปะ ดังนี้:

ลักษณะการจัดขบวนพยุหยาตราชลมารค

ขบวนพยุหยาตราชลมารคถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันและมีระเบียบแบบแผน ขบวนประกอบด้วยเรือพระราชพิธีทั้งหมด 52 ลำ แบ่งเป็นเรือ 4 หมู่ใหญ่ ได้แก่:

1.         เรือพระที่นั่ง: เป็นเรือที่มีความสำคัญที่สุดในขบวน โดยมีเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เป็นเรือประธาน นอกจากนี้ยังมีเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ และเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ ซึ่งเรือแต่ละลำมีการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามและมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่แตกต่างกันไป

2.         เรือกองทัพ: ประกอบด้วยเรือที่ทำหน้าที่คุ้มครองเรือพระที่นั่ง เช่น เรือดั้ง และเรือแซง โดยเรือกองทัพมีการตกแต่งด้วยลายแกะสลักและสีสันที่งดงาม

3.         เรือประกอบในขบวน: เช่น เรือหางยาวและเรือพาย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจัดขบวนและให้จังหวะการพายเพื่อความพร้อมเพรียง

4.         เรือเครื่องดนตรี: เป็นเรือที่มีเครื่องดนตรีสำหรับการบรรเลงเพลง เช่น กลองและฆ้อง เพื่อสร้างบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่และสง่างาม

การออกแบบเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์

เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์มีลักษณะเฉพาะตัวที่สะท้อนถึงความวิจิตรบรรจงของศิลปะไทย ตัวเรือทำจากไม้สักและถูกตกแต่งด้วยการลงรักปิดทอง ประดับกระจกสี หัวเรือมีลักษณะเป็นหงส์ทองยื่นออกไปข้างหน้า สัญลักษณ์ของหงส์แสดงถึงความสง่างาม ความสูงส่ง และอำนาจของพระมหากษัตริย์ ส่วนคาบพวงมาลัยที่ปากหงส์เป็นสัญลักษณ์ของความเคารพและการบูชาต่อเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์

เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้รับการบูรณะหลายครั้ง เช่น ในปี พ.ศ. 2524 และ พ.ศ. 2553 เพื่อให้คงความงดงามและอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน นอกจากนี้ ยังมีการฝึกฝนนักพายเรือและนักเห่เรืออย่างสม่ำเสมอเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับพระราชพิธีที่สำคัญ

การบูรณาการศิลปะและวรรณกรรมในประเพณีการเห่เรือ

การเห่เรือเป็นการบูรณาการของศิลปะหลายแขนง ได้แก่:

  • ศิลปะการพายเรือ: ต้องการความสามัคคีและความพร้อมเพรียงในการพาย และนักพายจะต้องได้รับการฝึกซ้อมอย่างดีเพื่อให้เรือเคลื่อนตัวไปอย่างสง่างามและพร้อมเพรียง
  • ดนตรีไทย: ขบวนพยุหยาตราชลมารคมักใช้การบรรเลงเพลงไทยเดิมประกอบการเห่เรือ เสียงเครื่องดนตรีต่างๆ เช่น กลองและฆ้อง ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่
  • วรรณกรรมไทย: บทเห่เรือเป็นศิลปะการแต่งกลอนที่สละสลวย ใช้ถ้อยคำที่มีความหมายและความไพเราะ โดยเฉพาะบทเห่เรือในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่ ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานวรรณกรรมที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง

การเห่เรือในฐานะสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูวัฒนธรรม

ในยุคสมัยรัชกาลที่ 6 การเห่เรือได้รับการฟื้นฟูอย่างเป็นทางการ เนื่องจากพระองค์มีความสนพระทัยในการฟื้นฟูประเพณีดั้งเดิมและอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์บทเห่เรือและฟื้นฟูการจัดขบวนพยุหยาตราชลมารคให้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของพิธีสำคัญของราชสำนัก การฟื้นฟูนี้ได้กลายเป็นการส่งเสริมความรู้สึกภาคภูมิใจในมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ และสืบทอดประเพณีนี้ให้คงอยู่ต่อไปจนถึงปัจจุบัน

การเผยแพร่วัฒนธรรมผ่านการเห่เรือ

การเห่เรือและขบวนพยุหยาตราชลมารคยังมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยไปสู่สายตาชาวโลก การจัดขบวนในโอกาสสำคัญ เช่น งานเฉลิมฉลองหรือพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้ชมทั้งในประเทศและต่างประเทศ การที่ประเทศไทยยังคงสืบสานประเพณีนี้เป็นการแสดงถึงความเคารพต่อประวัติศาสตร์และความเป็นไทยที่ไม่เสื่อมคลาย

การจัดแสดงขบวนเห่เรือในบางโอกาสอาจจัดขึ้นในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีนักท่องเที่ยวและประชาชนเข้าชมตามแนวฝั่งแม่น้ำ ซึ่งช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่งดงามและยิ่งใหญ่ เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และแสดงถึงความสำคัญของประเพณีและศิลปะการพายเรือในสังคมไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วัดอรุณราชวรวิหาร

  ประวัติวัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "วัดอรุณ" เป็นวัดที่มีชื่อเสียงและเป็...